Matana Wiboonyasake

Google Workspace เครื่องมือทำงานที่ทุกองค์กรควรใช้ 

Google Workspace คือ บริการหนึ่งของ Google ที่ช่วยจัดเก็บข้อมูลไว้บน cloud ภายหลังการรีแบรนด์จากชื่อเดิม G Suite มาเป็น Google Workspace เครื่องมือนี้เองทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยแอปพลิเคชั่นที่มีมากถึง 18 แอปพลิเคชันที่จะช่วยให้การทำงานร่วมกันในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนตอนนี้ Workspace  กลายเป็นเครื่องมือที่หลายองค์กรระดับโลกเลือกใช้   นอกเหนือจากกลุ่มพนักงานองค์กรแล้ว Google Workspace ยังเป็นที่นิยมในกลุ่มอาจารย์ นักเรียน นักศึกษามากถึง 170 ล้านคน ตรงนี้ถือเป็นเครื่องมือยอดนิยมของคนรุ่นใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคตอีกด้วย นั่นหมายความว่า มีลูกค้ารุ่นใหม่ที่มีความคุ้นเคยกับการใช้งานของ Google Workspace อยู่มากทีเดียว  มาตรฐานการทำงานแบบใหม่ที่ไร้อุปสรรคในการทำงานร่วมกัน  ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พนักงานจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับนโยบายและขั้นตอนการทำงานจากที่อื่นให้ได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นมาตรฐานการทำงานแบบใหม่ ในขณะเดียวกันก็มีพนักงานบางส่วนที่อาจอึดอัดกับการทำงานรูปแบบใหม่ โดยที่เครื่องมือที่ใช้อยู่อาจไม่สนับสนุนการทำงานจากคนละที่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปสรรคทางด้านการสื่อสาร Software Solutions ที่ใช้เป็นแพล็ตฟอร์มในการทำงานเพิ่มประสิทธิภาพจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งยังทรงพลังจนสามารถช่วยกำหนดวิธีการทำงานขององค์กรอีกด้วย เรียกได้ว่า ปฏิวัติเกือบทุกแง่มุมของการทำงานร่วมกันของคนในทีมไปโดยสิ้นเชิง โดยการใช้เครื่องมือที่ใช้ทำงานร่วมกันมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ  Google Workspace ช่วยสร้างวัฒนธรรมในสถานที่ทำงานร่วมกัน  การเพิ่มขึ้นของโมเดลการทำงานแบบ hybrid และแบบ remote ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพของซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้เกิดการทำงาน การสื่อสาร ไปจนถึงการสร้างวัฒนธรรมในสถานที่ทำงานร่วมกัน สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ Google Workspace สามารถเป็นส่วนสำคัญที่มีบทบาทในการสนับสนุนองค์กรตามแนวทางการทำงานใหม่ แถมยังช่วยสร้างวัฒนธรรมแห่งความร่วมมือและช่วยขับเคลื่อนความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำงานโปรเจ็กต์ใหม่

Read more

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจใช้ ERP

สิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจใช้ ERP ควรพิจารณาอย่างไร? ภายหลังวิกฤต COVID-19 ตลอดเวลาที่ผ่านมาทำให้เราเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ธุุรกิจที่ดีและจะสามารถอยู่รอดได้ จำเป็นต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตามสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ และแน่นอนว่า ERP เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงคุณภาพพอที่จะช่วยจัดการงานโดยรวมทั่วทั้งองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อมีการจัดการที่ดีฉะนั้นย่อมมีโอกาสเติบโตไปในทางที่ทิศทางที่ดีขึ้นได้   เราได้พบว่าตลอดช่วงเวลาที่เศรษฐกิจซบเซานี้ ทั้งหมดเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น แต่พรากโอกาสและส่งผลต่อความสำเร็จโดยรวมหลายอย่างของธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อพูดถึงเวลาและความสูญเสียแล้ว การตัดสินใจกับทางเลือกที่มีอยู่จึงเป็นเรื่องเจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญเช่นกัน   ธุรกิจจะเติบโตได้ก็ด้วยระบบบริหารจัดการทรัพยากรคุณภาพ  ระบบวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งโครงสร้างการทำงานให้สามารถใช้ได้ทั้งองค์กร ทุกส่วนงาน รวมถึงทำงานระบบบัญชีได้เป็นอย่างดีโดยไม่ทิ้งความยืดหยุ่นในการใช้งานของงานส่วนอื่นไป ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นการกำหนดงานและติดตั้งระบบขึ้นอยู่กับจุดเริ่มต้น ทั้งการกำหนดจุดประสงค์ วางเป้าหมาย และค้นหาผลลัพธ์ให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจในปัจจุบัน ฉะนั้นก่อนที่จะเริ่มต้นเลือก ERP คุณภาพ ควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้พลาดและสูญเสียโอกาสมากกว่าเดิม   สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจใช้ ERP  ความเสี่ยง ผู้ประกอบควรกำหนดนโยบาย กระบวนการทำงาน และบทบาทหน้าที่ของผู้ที่ดูแลรับผิดชอบอย่างเหมาะสมในการบริหารและจัดการความเสี่ยง โดยสามารถอ้างอิงจากลักษณะความเสี่ยงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พฤศจิกายน 2562) และพิจารณาทางออกอย่างถี่ถ้วนได้ ดังนี้    ความเสี่ยงจากการพลาดโอกาส  นั่นหมายถึง การพลาดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีนั้น เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อการดำเนินงาน หรือสร้างผลลัพธ์ที่ก่อให้เกิดมูลค่าให้แก่องค์กรอย่างคาดไม่ถึง  ควรพิจารณาอย่างไร?  ระบบ ERP ที่ดีจะมีการออกแบบมาให้มีรายงานเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า การซื้อสินค้า และการวิเคราะห์เพื่อวางแผนการผลิตหรือซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้พิจารณาและคาดการณ์การดำเนินงานในกระบวนการผลิตได้     ความเสี่ยงจากเทคโนโลยีที่เลือกไม่ตอบโจทย์  ในขณะเดียวกัน คุณควรพิจารณาถึงความเสี่ยงในการรับเอาเทคโนโลยีมาใช้ แต่ทว่าไม่สามารถตอบสนองต่อการดำเนินธุรกิจ ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจลดน้อยลง   ควรพิจารณาอย่างไร? 

Read more

กำจัด Digital Footprint ได้ง่าย ๆ ภายใน 5 นาที ด้วย Smart Data Assistant

ปัจจุบันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า โลกออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าคุณจะดูหนัง ฟังเพลง พูดคุย สั่งอาหาร หรือทำอะไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่จะต้องมีโลกออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้องในเกือบทุก ๆ กิจกรรมไม่มากก็น้อย ซึ่งการเข้าสู่โลกออนไลน์ในแต่ละครั้ง เรานำข้อมูลส่วนตัวของเราเข้าสู่ระบบอย่างมากมาย โดยหารู้ไม่ว่า ข้อมูลของเราถูกหลาย ๆ บริษัทจัดเก็บเอาไว้ บางบริษัทอาจลงลึกจัดเก็บไปมากกว่าข้อมูลส่วนตัวทั่วไป แถมบางครั้งการเข้าไปใช้งานโลกออนไลน์ของเราทิ้ง Digital Footprint ที่อาจจจจะย้อนกลับมาสร้างปัญหาได้ในภายหลัง หลาย ๆ คนอาจเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วถ้าเราอยากลบ Digital Footprint ให้หมดจด เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว เราจะสามารถทำได้ไหม? หรือร่องรอยการใช้งานอินเทอร์เน็ตของเราจะต้องอยู่ในโลกออนไลน์ตลอดไป?   ปัญหานานาชนิดที่เกิดมาจาก Digital Footprint   Digital Footprint คือ ร่องรอยการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้งานที่ได้ฝากเอาไว้บนโลกออนไลน์ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ Digital Footprint ที่เราทิ้งเอาไว้อาจนำปัญหาใหม่ ๆ มาให้เราได้ในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นการถูกติดตามจากบุคคลที่ไม่พึงประสงค์จากการพิมพ์คอมเมนต์หรือการพิมพ์โต้ตอบบนโลกออนไลน์ที่มีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน และยังมีเรื่องของการติดตามดูทัศนคติจาก HR ของบริษัทที่เรากำลังสมัครงาน เพื่อมองหาความเป็นไปได้ในการร่วมงานกันกับองค์กรนั้น ๆ ถ้า Digital Footprnt ของเราแสดงถึงทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกับองค์กร ก็จะลดโอกาสในการได้งานที่เราต้องการ   ปัญหาล่าสุดที่พบกันมากในสังคมไทยนั่นก็คือ การโดนแก๊งมิจฉาชีพเก็บ Digital Footprint ของเราไปเพื่อใช้ติดต่อกลับมาหลอกลวงทรัพย์สินของเราโดยตรง มักจะมาในรูปแบบ Call

Read more

NFT คืออะไร? ทำความเข้าใจกับ NFT ง่าย ๆ ก่อนนำธุรกิจโลดแล่นเข้าสู่โลกของ NFT

ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีหนึ่งคำที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากบนโลกโซเชียลมีเดีย นั่นก็คือคำว่า NFT ซึ่งเรามักจะเห็นคำว่า NFT ปรากฏในการซื้อขายของวงการศิลปะและเกมเป็นส่วนใหญ่ จนทำให้ใครหลาย ๆ คนตั้งคำถามขึ้นมาว่า NFT คืออะไร สำคัญยังไง ทำไมถึงเป็นที่นิยมขนาดนี้   NFT คืออะไร   ในปัจจุบันการซื้อขายไม่ได้มีเพียงแต่การใช้เงินจริง ๆ เท่านั้น แต่ยังมีการใช้เงินสกุลดิจิทัลผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่าเสมือนเงินจริง ๆ อีกด้วย ซึ่ง NFT ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึง Bitcoin หรือ Ethereum ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถใช้ซื้อสินค้าทั่วไปแบบจับต้องได้ (Physical) ได้แทนเงินจริง ๆ โดย NFT ก็มีความคล้ายคลึงกับ 2 สกุลเงินดิจิทัลข้างต้น แต่ NFT มีความแตกต่างและพิเศษมากไปกว่านั้น   NFT ย่อมาจาก Non-Fungible

Read more

ความแตกต่างของ ERP และระบบบัญชี 

ในคราวแรกหลายคนอาจจะเข้าใจว่า ERP และระบบบัญชี คือ สิ่งเดียวกัน จะบอกว่าใช่ก็จะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะความซับซ้อนและความสามารถของทั้งสองระบบนั้นมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  ถ้าหากพูดตามไทม์ไลน์ของเทคโนโลยี แน่นอนว่าระบบบัญชีเกิดขึ้นมาก่อน มันถูกออกแบบมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวก และความถูกต้องในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเงินของบริษัท เพราะในอดีตการทำธุรกิจที่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนั้น จึงเป็นการมีระบบบัญชีที่ดีที่เข้ามาช่วยควบคุมรายรับรายจ่ายขององค์กร   ระบบบัญชีคืออะไร?  หากจะอธิบายให้ชัดเจนขึ้น ระบบบัญชีเป็นเพียงโปรแกรมสำเร็จรูปที่เน้นไปในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูลทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเงินของบริษัท ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย เอกสารการโอนเงิน เอกสารการเบิกจ่ายเงิน รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่เรียงลำดับวันที่ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา สะดวกในการทราบต้นทุนและกำไรของบริษัท ไปจนถึงการที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นไปเป็นหลักฐานในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กรมสรรพากรอีกด้วย แต่ทว่าระบบนี้ไม่ได้ครอบคลุมหรือเชื่อมต่อการทำงานไปยังส่วนงานอื่นๆขององค์กร   ERP ครอบคลุมถึงงานในส่วนอื่นในองค์กร  ในขณะที่ ERP หรือการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร (Enterprise Resource Planning System) เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้วยการรวบรวม เชื่อมโยง วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลระหว่างแผนกในองค์กรทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว และยังสามารถขยายผลสู่การเชื่อมโยงระหว่างองค์กรเข้าด้วยกัน ช่วยให้การวางแผนและจัดการทรัพยากรขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  เพิ่มความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้ในการวางแผน และการตัดสินใจของผู้บริหารได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งให้ผลลัพธ์มวลรวมมากกว่าระบบบัญชีอยู่หลายขั้นด้วยกัน   แนวโน้มการใช้งานระหว่างระบบ ERP และโปรแกรมบัญชีในปัจจุบันเป็นอย่างไร?   ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ย่อมมีการแข่งขันทางธุรกิจสูงและสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นอกจากการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ของตน ยังต้องสร้างมูลค่าเพิ่ม ในขณะเดียวกันก็ต้องหาวิธีลดต้นทุนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่เพียงแต่การมีระบบบัญชีที่ดีที่จะสามารถอำนวยสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ แต่จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อช่วยบริหารจัดการทรัพยากรภายในองค์กรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  ฉะนั้น ERP

Read more

Man & Metaverse – เราจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับ Metaverse อย่างไรนับจากนี้ 

เมื่อช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในวงการเทคโนโลยี ทำให้จู่ ๆ คำคำหนึ่งก็กลายเป็นคำที่ใคร ๆ ต่างพยายามหาคำตอบเพียงช่วงข้ามคืน ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น คือการบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีอย่าง Facebook ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น Meta (เมตา) และคำนี้นี่เองที่ทำให้หลายคนต้องรีบหาคำตอบ ว่ามันคืออะไรกันแน่?   ก่อนจะมาถึงคำว่า Metaverse  หลายคนอาจจะเคยรู้มาบ้างแล้วว่า Meta จะมีคำตอบไปในทิศทางไหน แต่อีกหลาย ๆ คนสงสัยเหลือเกินว่าทำไม Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Facebook ถึงจะเปลี่ยนชื่อบริษัทของตัวเองเป็น Meta เขากำลังจะทำอะไรกันแน่ นี่เป็นข่าวที่ทั่วโลกต่างจับตา เพราะมันต้องมีความหมายอยู่แล้วที่ผู้บริหารจะเปลี่ยนชื่อบริษัทของตัวเอง ทั้งที่เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่เขาใช้ชื่อ Facebook จนเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จัก จดจำกันได้ทั่วโลก และมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มนี้นับพันล้านคน  ในงาน Facebook Connect 2021 Mark Zuckerberg  ได้ออกมาประกาศว่าบริษัท Facebook จะรีแบรนด์และเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Meta เพื่อเดินหน้าวิสัยทัศน์ Metaverse อย่างเต็มตัว ซึ่งนี่จะเป็นทิศทางใหม่ของบริษัท ที่เขาพร้อมจะมุ่งมั่นและเดิมพันกับมัน โดยตัวเขาเองก็เคยออกมาบอกเมื่อเดือนกรกฎาคมแล้วรอบหนึ่ง ว่าเขาต้องการเปลี่ยนให้ Facebook กลายเป็น Metaverse Company เต็มตัว ภายในระยะเวลา 5 ปี  ในฐานะผู้ใช้ Facebook อย่างเรา ๆ หลังจากได้ยินข่าวก็อาจจะคิดกันไปต่าง ๆ นานา ว่าการเปลี่ยนชื่อครั้งนี้จะส่งผลกระทบอะไรกับบัญชี Facebook ของเราไหม ซึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาแค่เปลี่ยนชื่อบริษัท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Meta จะเปรียบได้กับยานแม่ ส่วน Facebook และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เคยเป็นของ Facebook จะลดขนาดลงมาเป็นบริษัทลูกที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Meta แทน ทั้งธุรกิจโซเชียลมีเดีย Facebook, Instagram, WhatsApp, Facebook Messenger และธุรกิจ AR, VR และ Metaverse ที่เขากำลังทำ   Metaverse คืออะไร?  หลายคนน่าจะได้คำตอบแล้วว่าทำไม Mark Zuckerberg ถึงเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta มันเป็นวิสัยทัศน์ของเขาที่ต้องการให้ Facebook เป็นมากกว่าโซเชียลมีเดีย โดยจะมุ่งสู่การสร้างโลกเสมือนอย่าง Metaverse มากกว่าจำกัดอยู่กับคำว่า Facebook ต่อจากนี้ไป ทุกคนจะเชื่อมโยงถึงกันด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือน ที่เราอาจเคยรู้จักโลกเสมือนในวงการเกม แบบที่ว่าแค่สวมแว่น VR ก็เหมือนกับเราได้เข้าไปอยู่ในเกมนั้นจริง ๆ การมาถึงของ Metaverse  จะเปลี่ยนโลกที่เราเคยรู้จัก ให้กลายไปเป็นโลกใบใหม่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแน่นอน  ซึ่งถ้าเขาทำให้มันเป็นจริงได้ในเวลา 5 ปี เท่ากับว่าต่อจากนี้อีก 5 ปี การติดต่อของพวกเราก็จะใกล้ชิดกันมากขึ้น เราจะสามารถเทเลพอร์ตตัวเองไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อพบปะกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ในโลก Metaverse เช่นเดียวกัน ซึ่งในขณะนี้ เขาก็กำลังพัฒนาโปรเจ็กต์หนึ่งในชื่อ Horizon Home ซึ่งเป็นแอปฯ สำหรับการเข้าสังคมในรูปของห้องนั่งเล่นที่คุณจะชวนใครมานั่งก็ได้ โดยใช้ระบบร่างอวตารหรือตัวแทนผู้ใช้งานเสมือนจริง  สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หากมีคนพูดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน ก็คงจะโดนค่อนแคะว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน อาจถึงขั้นโดนปรามาสว่าเพ้อเจ้อ แต่ ณ เวลานี้ เรากลับเริ่มที่จะเห็นมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว โดยเริ่มมาจาก Facebook อีกเช่นเคย ที่เคยพลิกโฉมโลกเทคโนโลยีมาครั้งหนึ่งแล้ว  แต่ครั้งนี้ เขาเล็งเห็นว่า Metaverse คืออนาคตแห่งโลกอินเทอร์เน็ต บริษัทของเขาจึงหันมาโฟกัสและให้ความสำคัญกับเรื่องของการสร้างและใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกันเป็นอันดับแรก ที่เขาย้ำว่าต่อจากนี้จะต้องเป็น Metaverse-First ไม่ใช่ Facebook-First และมอง Metaverse เป็นเครื่องมือยุคถัดจากโซเชียลมีเดีย ที่สามารถสร้างเศรษฐกิจ สร้างงาน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับโลก   โลกเสมือนคืออะไร?  ความหมายของเสมือน เป็นเพียงความเหมือน ความคล้ายคลึง แต่ไม่ใช่สิ่งนั้นจริง ๆ นั่นหมายความว่า Mark

Read more

จนถึงตอนนี้แล้ว เรายังต้องให้ความสำคัญกับ Digital Transformation อยู่อีกไหม? 

คำถามนี้อาจเกิดขึ้นกับองค์กรทุกขนาด แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเหมือนแรงผลักที่ทำให้ทุกธุรกิจต้องปรับตัว ถึงแม้จะล่วงเลยกันมาปีกว่าแล้ว เรายังต้องให้ความสำคัญกับ Digital Transformation อยู่อีกไหม จะช้าไปรึเปล่า?  Digital Transformation ยังสำคัญอยู่ในแง่การปรับตัวและเป็น Normal ปัจจุบัน ที่จากนี้ไม่ว่าจะอย่างไรมีความเป็นไปได้ว่าเราต้องสามารถรับมือกับสถานการณ์ข้างหน้าได้แม้ว่าต้องลดการติดต่อพบปะ ต้องทำธุรกิจ ทำงาน และดูแลลูกค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้น แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องของ Digital Transformation จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเข้าใจที่มาที่ไปของการทำ Digital Transformation  หลายองค์กรคิดว่าต้องรีบกระโจนเข้า Digital Transformation เลย แค่มองหาเทคโนโลยีล้ำๆเข้ามาใช้ โดยที่ยังตอบคำถามเกี่ยวกับธุรกิจได้ไม่ชัดเจนถึงทิศทาง กลยุทธ์ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหลายๆอย่าง ที่รวมไว้ด้วยข้อมูลที่มีอยู่หลากรูปแบบ ไปจนถึงวิธีการที่จะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจของตนเอง   นอกจากนั้นหลายธุรกิจยังมีอุปสรรคในการทำ Data Management ให้ง่ายขึ้นอีกด้วย การรับช่วงต่อจากข้อมูลก่อนหน้าที่อยู่ในรูปแบบหนึ่ง เข้ามาเก็บในรูปแบบออนไลน์ จะเชื่อมโยงและส่งต่อข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างไร หรือในกรณีที่ข้อมูลจากธุรกิจรุ่นคุณพ่อส่งต่อให้รุ่นลูก จะนำข้อมูลทั้งสองรุ่นมาบูรณาการร่วมกันได้อย่างไร   Digital Transformation คืออะไร?  Digital Transformation คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงองค์กรเพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้มีศักยภาพพร้อมต่อสู้ในยุคที่ดิจิทัลมีผลกับทุกคน ซึ่งคำว่า Digital Transformation ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กร ตั้งแต่เริ่มต้นวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ ทรัพยากรบุคคล วัฒนธรรมองค์กร ไปจนถึงขั้นตอนการทำงานของทุกฝ่าย รวมไปถึงความสามารถในการเข้าถึงลูกค้าด้วยการนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนช่วยให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง   การเริ่มต้น Transform ที่ง่ายที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การนำระบบ Excel เข้ามาใช้แทนกระดาษในการทำงานภายในองค์กร หรือการเลือกซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่อย่าง ERP, CRM หรือ HCM เข้ามาใช้ในองค์กร แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการทำ Digital Transformation เช่นกัน    สิ่งสำคัญของ Digital Transformation อยู่ตรงไหน?  การ Transform ไม่ได้อยู่ที่ว่าเทคโนโลยีนั้นล้ำสมัยมากแค่ไหน เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจและกระบวนการทำงาน ว่าจะเข้ามาช่วยเหลือการทำงานนั้น ๆ ได้มากน้อยเพียงใด โดยที่เทคโนโลยีเองก็มีความหลากหลาย พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว (High Technology) และมีความสามารถที่จะนำมาพัฒนาหรือช่วยองค์กรให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การทำงานแบบ Cloud Concept (IaaS, PaaS และ SaaS) หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน (Disruptive Technology) เช่น  Machine Learning หรือ AI และ IoT เหล่านี้ คือ ตัวช่วยให้การทำงานขององค์กรง่ายและสะดวกรวดเร็วมากขึ้น พนักงานสามารถนำเวลาไปใช้กับกระบวนการทำงานอื่นที่สร้างมูลค่าให้ตัวเองและองค์กรได้มากกว่าการต้องทำงานซ้ำๆ เดิมๆ เช่น การทำ Marketing Campaign เพิ่มยอดขายจากข้อมูลที่ AI suggest มาให้ เป็นต้น   ก่อนจะเริ่มต้นวางกลยุทธ์ทางธุรกิจคุณมีความเข้าใจต่อธุรกิจของคุณอย่างไรบ้าง?  ก่อนอื่นเลย คุณมีความเข้าใจต่อธุรกิจของคุณในแต่ละด้านอย่างไร เพราะแต่ละส่วนประกอบนี้ถือเป็นแหล่งที่มาของข้อมูลปลายทางที่สำคัญ คุณได้เริ่มทำ Business Transformation

Read more

5 สัญญาณที่บอกว่าองค์กรของคุณกำลังเข้าสู่ภาวะไซโล

ทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่มีเครื่องมือดิจิทัลหรือซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ที่ออกแบบเพื่อการทำงานร่วมกันมากมายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ผลสำรวจจาก Customer.com ได้สะท้อนว่า 40% ของพนักงานในบริษัท ไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอจากเพื่อนร่วมงาน ด้วยเหตุผลว่า เป็นเรื่องของแผนก นั่นหมายถึงองค์กรของคุณกำลังเข้าสู่ภาวะไซโล (Silo) กลายเป็น Siloed Organization หรือ Siloed Company เมื่อแผนกต่าง ๆ ในองค์กรเดียวกัน ไม่ยอมแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือองค์ความรู้ระหว่างกัน   5 สัญญาณที่บ่งชี้ว่า องค์กรของคุณกำลังเข้าสู่ภาวะไซโล คือ   ทำลายประสบการณ์ของลูกค้าเช่น บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีหรือช่องทางการสื่อสารเพื่อแบ่งแยกลูกค้าที่คิดจะซื้อของของคุณ กับลูกค้าที่ซื้อของไปแล้ว โดยทีมการตลาดดูแลลูกค้าที่ซื้อของไปแล้ว ราวกับคนที่ยังไม่ได้ซื้อของ เพราะฝ่ายเซลล์กับฝ่ายการตลาดไม่คุยกัน  ความแปลกหน้าในองค์กรสัญญาณเตือนภัยคือ หากคุณไม่รู้จักคนส่วนใหญ่ที่ทำงานนอกทีม หรือสิ่งที่พวกเขาทำในองค์กร ซึ่งไม่ได้หมายถึงให้คุณคุ้นเคยกับทุกคนในองค์กร แต่อย่างน้อย ถ้าเป็นบริษัทเล็ก ๆ ก็ควรรู้จักชื่อของทุกคน แต่ถ้าเป็นองค์กรใหญ่อย่างน้อยก็ควรจะรู้ชื่อและช่องทางติดต่อระดับบริหารแต่ละแผนก เพื่อให้เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ปัดเป่าไซโลได้  ภาวะ”เรา” กับ “เขา” ระหว่างแผนก จะทำให้เกิดภาวะการแข่งขันและเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จขององค์กร เพราะไม่มีการแชร์ข้อมูลและขาดความร่วมมือร่วมใจ จากการกลัวว่าอีกทีมจะได้หน้า แต่ทีมคุณคือแพ้  พนักงานที่ถูกเพิกเฉยซึ่งมีความเชื่อมโยงระหว่างไซโลกับการไม่มีงาน คนที่ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม หรือถูกปฏิบัติแบบไม่เหมือนคนอื่น อาจจะไม่มีความสุข รู้สึกไม่มีประโยชน์ และเสี่ยงต่อการแชร์หรือปั่นหัวสิ่งที่ไม่ดีกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ  การทำงานซ้ำซ้อนเพราะไม่มีการสื่อสารกัน ไม่มีทางที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำไป ได้ทำซ้ำกับคนอื่นหรือแผนกอื่นหรือไม่ ธุรกิจที่ขาดความร่วมมือจะมีคนและทีมงานที่ทำงานในโครงการที่คล้ายกัน ซึ่งนำไปสู่ความไร้ประสิทธิผลและสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานไปอย่างน่าเสียดาย   ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือพนักงาน หากเจอสัญญาณเหล่านี้ ให้เริ่มใช้กลยุทธ์เพื่อทลายการทำงานแบบไซโล ที่เป็นอุปสรรคในการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน   เพราะเมื่อโลกเข้าสู่ยุค data การจัดองค์กรแบบไซโลใช้ไม่ได้อีกแล้ว ทุกฝ่ายขององค์กรต้องเรียนรู้งานของฝ่ายอื่น ๆ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน (cross functional) มีการประสานงานที่เป็นเลิศ ไม่ตัวใครตัวมัน (collaboration) เพื่อให้เกิดการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กฎระเบียบขั้นตอนต่าง ๆ ในองค์กรควรมีให้น้อยที่สุด ใช้ดุลพินิจ และการตัดสินใจของพนักงานภายใต้ข้อมูลที่เหมาะสมให้มากที่สุด  ยิ่งในยุคที่พนักงานยุคใหม่ต้องทำให้ได้แบบ Smart คือทำได้ทุกอย่าง ต้องเปลี่ยนจากกำหนดวิธีการ ไปเน้นที่กำหนดเป้าหมายแทนเพราะการทำงานโดยทุกคนรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยไม่ต่างคนต่างรู้เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งสำหรับองค์กรวันนี้   ที่มา  – https://www.cmswire.com/…/5-signs-your-organization-is…/  –  http://oknation.nationtv.tv/…/pigkys…/2018/04/04/entry-1  – https://www.prachachat.net/facebook-instant…/news-182372  Matana WiboonyasakeDigital Marketing Executive | Aware Group ตั้งใจที่จะส่งมอบเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ เขียนให้อ่านง่ายและเข้าใจง่าย

Read more

ความต่างระหว่าง Data lakes และ Data warehouses 

ความต่างระหว่าง data lakes และ data warehouses นับตั้งแต่ที่ google บัญญัติศัพท์ว่า big data ขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนคราวนี้ก็มีศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นมาโดยที่ขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความสนใจไปที่ส่วนใด เรามาดูกันเรื่องความแตกต่างของ data lakes และ data warehouses กันว่าทั้งสองอย่างนี้ช่วยให้คุณจัดการกับข้อมูลได้อย่างไร  สำหรับผู้เริ่มต้นเรียนรู้ในสาย data โดยมีโซลูชั่นส์คือ big data ของข้อมูลลูกค้า เราสามารถโฟกัสให้แคบลงมาโดยใช้ชื่อว่า data lakes   เรามาดูเรื่องของ Data Warehouses กันก่อน ความหมายของมันคือ การเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ในส่วนกลาง (repositories) คอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลต้นทางจะเป็นข้อมูลแหล่งเดียวกันหรือแหล่งที่ต่างกันก็ได้ ซึ่งจะเก็บทั้งข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและข้อมูลอดีตเพื่อสร้างเป็นรายงานให้หัวหน้าได้ดู เช่นการเปรียบเทียบประจำควอเตอร์,การเปรียบเทียบประจำปี  จุดมุ่งหมายของ data warehouses ก็เพื่อเก็บข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นข้อมูลที่มีโครงสร้างมีแบบแผนแบบเดียวกัน, โดยข้อมูลยังไม่ถูกโหลดจาก data warehouse จนกว่าจะมีการเรียกใช้    เราจะรู้ถึง ความต่างระหว่าง data lakes และ data warehouses ได้อย่างไร ?  Data lakes จริงๆแล้วความหมายของมันก็คือ data mart ที่เป็นซับเซตของ data warehouse ที่ผ่านกระบวนการ cleanse, package และเปลี่ยนแปลงให้เป็นโครงสร้างอย่างง่ายมาแล้ว ขณะที่ data lakes คล้ายกับส่วนของน้ำที่มีสถานะเป็นกลาง ข้อมูลจะไหลมาจาก stream (หรือระบบ source

Read more